วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การเรียนรู้ สู่ชีวิตที่พอเพียง

การเรียนรู้ สู่ชีวิตที่พอเพียง


นายวิกรม กรมดิษฐ์ องค์ปาฐกถา



บทความนี้ เป็นการถอดเทปจากนายวิกรม กรมดิษฐ์ องค์ปาฐกถา เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2550 ในการสัมมนาและวิชาการงาน “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ และวันการศึกษานอกโรงเรียน ปีพุทธศักราช 2550” ณ ห้องประชุมเวทีใหม่สวนอัมพร กรุงเทพมหานคร ความว่า............

เป็นครั้งแรก ที่ได้เข้ามาในสถานที่นี้ รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสได้พบ ได้เจอทุกท่าน ซึ่งวันนี้ได้มาพูดในหัวข้อที่ไม่ค่อยคุ้นเคย อาจจะขัดแย้งกับชีวิตในปัจจุบันผมสักนิดนึง คือความพอเพียงในมุมมองของทุกท่าน คงอาจจะมองว่าเราจะใช้ไม่เยอะและต้องประหยัดที่สุด ในชีวิตผมอาจจะใช้เยอะไป การเรียนรู้สู่การพอเพียงทุกท่าน ไม่ทราบว่า จะเข้าใจตรงกับที่ผมเข้าใจหรือไม่ ผมคิดว่า การเรียนรู้เราพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุด เพื่อที่จะนำไปสู่ผลประโยชน์และผลงานของตัวเอง ยกตัวอย่าง เช่น ถามว่า คนในสิงคโปร์ คนในฮ่องกง ญี่ปุ่น ทำไมถึงมีรายได้ใช้อย่างสบาย อันนั้น ก็อยู่ในความสามารถที่ทำแล้วให้ใช้ได้อย่างพอเพียง จึงมาทำให้ทุกคนได้เห็น ปัจจุบันผมไม่ได้เป็นนักธุรกิจ ผมไม่ได้ทำแล้ว เกษียนมา 6 ปี แล้ว ผมมีความคิดกับตัวเองว่าชีวิตผมแบ่งเป็น 3 ภาค ของชีวิต ภาคที่ 1 ผมมองว่าเมื่อเกิดมาตั้งแต่เด็กถึงอายุ 48 ปี ตอนอายุครบ 4 รอบ เป็นชีวิต ที่เกิดมาเพื่อหาความรู้เพื่อทำมาหากินหรือเรียกว่าในช่วงแข่งธุรกิจนั่นเองหรือเศรษฐกิจ ผมเปรียบเหมือนหนอนตัวหนึ่ง ที่ตอนนั้นมักจะกิน ๆ แค่ใบไม้ กินอาหารไม่หยุดเลย 24 ชั่งโมง ฉะนั้น ในช่วงก่อนอายุ 48 ปี ผมทำงานค่อนข้างจะหนัก เมื่อผมได้ในสิ่งที่เรียกว่าปัจจัย 4 ก็หยุด ไม่ทำ นี่คือสาเหตุที่บอกว่าเกษียนเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ถ้าถามว่าทุกวันนี้ผมทำอะไร ก็อาจจะเปรียบเสมือนตัวผมเป็นดักแด้ หลังจากที่ได้เงินได้ทอง ทุกวันนี้ ผมมีเงิน มีทองเยอะพอสมควร เรียกว่า เหลือกินเหลือใช้และไม่ต้องไปกังวลอะไรทั้งสิ้น ฉะนั้น ความที่เราไม่ต้องไปกังวลกับอะไร ผมจึงเปรียบตัวเองว่าเป็นดักแด้นั่งสงบมา 6 ปี ในการที่ผมได้นั่งสงบ ผมก็ได้ถ่ายสิ่งที่เป็นตัวตนของผมออกมา ในความที่ผมได้เป็นดักแด้นั้น ก็ได้ถ่ายเสียง หนังสือ และก็ภาพ ทุกวันนี้ผมออกรายการวิทยุมา 3 ปีแล้ว ทางสถานีวิทยุ FM. 96.5 แล้วในขณะเดียวกันผมกำลังขยายด้านรายการ TV ประเด็นก็คือว่า ทำไมถึงได้มาทำงานทางด้านประเภทนี้ ในช่วงที่คิดว่าตัวเองเป็นหนอน สิ่งที่กำลังสร้างตัวเอง สร้างธุรกิจ ตรงนั้น มันน่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง หรือต่อสังคม นั่นเอง คิดว่าสิ่งที่ผมมี ที่ผมทำธุรกิจมาแล้ว 32 ปี คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ผมจึงนำสิ่งนั้นแปลออกมาเป็นหนังสือ แล้วก็แปลออกมาเป็นรายการวิทยุ ผมคิดว่าถ้าสังคมเราสามารถลดต้นทุนได้ ไม่ทำให้ต้นทุนของสังคม และไม่ทำให้ต้นทุนของชีวิตของพวกเราสูงขึ้น อันนั้น ในความรู้สึกของผม ในฐานะที่ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง ผมมองว่านั่นเป็นหน้าที่ของผม แล้วในหน้าที่อันนี้ ไม่มีอะไรแอบแฝง ผมวันนี้หลาย ๆ คน บอกว่าในขั้นตอนแบ่งชีวิตของนักการเมืองไทยคือ นักธุรกิจที่มีเวลา นักธุรกิจที่มีคอนเนคชั่น ผมอยากจะเรียนว่า ไม่มีอะไรแอบแฝงในแบบที่เป็นแบบชาวบ้านแม้แต่น้อย วันนี้ก่อนที่ผมจะพูดผมจะเคลียร์ตัวเองนิดนึง เดี๋ยวมาหาว่าผมมาหาเสียง มีแค่สองอันที่อยากจะทวนความคิด ว่าผมไม่มีความคิดและทุกท่านก็จะไม่เคยเห็นว่า ผมจะรับตำแหน่งใด ๆ ทางการเมือง ไม่ว่าจะสูงขนาดไหนก็แล้วแต่ การเมืองในโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่ประเทศนี้ อันนี้คือภาคที่1

ส่วนภาคที่ 2 ผมทำทุกอย่างวันนี้ เพราะผมมีความสุขและความภูมิใจอยู่แล้ว ฉะนั้น ผมไม่ต้องการรางวัลใด ๆ ที่มีในโลกนี้ ฉะนั้น อันนั้นก็เป็นการเคลียร์ตัวเอง สิ่งที่ผมกำลังทำ และสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่นี้ จะไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ ในเรื่องตำแหน่ง ในเรื่องชื่อเสียง หรือในแง่รางวัล แล้วทุกท่านที่อยู่ที่นี้ หลาย ๆ ท่านก็อาจจะเป็นพยานว่า ผมพูดกับท่านวันนี้ แล้วถ้าเกิดว่าในอนาคต ท่านเห็น ท่านก็ต่อว่าผมได้เลย ผมจะย้อนไปนิดหนึ่งว่า ผมคือใคร และผมทำอะไร ให้ท่านทราบว่า อมตะ เป็นองค์กรเล็ก ๆ มีพนักงานประมาณ 82 คนเท่านั้น แต่ในอมตะในประเทศไทยของเราวันนี้ทำงานทั้งเต็มเวลา และครึ่งเวลา ประมาณเกือบ 200,000 คน เรามีผลิตภัณฑ์ มวลรวม คือ สิ่งที่ผลิตและขายออกมาในอมตะ วันนี้มีเท่ากับเกือบ 7 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศ นั่นคือ วันนี้เรามีผลิตภัณฑ์มวลรวมกว่า 500,000 ล้าน ในประเทศไทย แล้วมีโรงงานวันนี้ ประกอบการไปแล้วประมาณ 500 กว่าแห่ง วันนี้ มีโรงงานที่สรุปจะเข้าไปอยู่กับเราอีกประมาณ 600 แห่ง วันนี้ อมตะมีคนที่มาอยู่ในนี้และมาทำงานแล้วทั้งหมด 27 ชาติ มีคนหลายคนโดยเฉพาะทางด้านธนาคาร บอกว่าสาขาที่โตเร็วที่สุดแล้วก็มี NPL น้อยที่สุด หรือแทบจะไม่มีเลย อยู่ที่อมตะนั่นก็แสดงถึงวินัยของคนในอมตะ วันนี้เรามีถนนอยู่ในอมตะยาวเกือบ 100 กิโลเมตร ผมเชื่อว่า ทุกท่านไปที่อมตะ วิ่งอยู่บนถนนวันใดก็แล้วแต่ ผมว่าไม่น่าจะเจอขยะเกินกว่า 5 ชิ้น นั่นก็คือ ความมีวินัยของคนอมตะ ข้อสำคัญที่สุดทุกท่านเชื่อไหมว่า วันนี้ อมตะใช้น้ำปีละประมาณ 30 ล้านคิว ผมกล้าพูดได้ว่า ไม่มีน้ำเสียปล่อยออกจากอมตะเลย ฉะนั้น จะเห็นว่าคนที่เลี้ยงปลา เลี้ยงปู อยู่ใกล้นิคมอมตะเมื่อ 20 ปี ที่แล้ว วันนี้ ก็ยังเลี้ยงปลา เลี้ยงปู อยู่ใกล้อมตะ ทุกท่านเห็นว่า มีที่ไหนในประเทศไทย เมื่อตั้งโรงงานแล้วคนที่ทำปศุสัตว์ เลี้ยงปลา เลี้ยงปู ยังทำได้นั้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอมตะ ส่วนในเวียตนามเรามีนิคมอีกประมาณ 100 แห่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในอมตะ คือต้องการเป็นเมืองมีโรงเรียน มีสาธิตเกษตร มีสถาบันเทคโนโลยีไทย-เยอรมัน มีสวนกุหลาบ มี YWCA มีโรงเรียนนำร่องวิทยาศาสตร์ สิ่งนี้ได้เกิดอยู่ในอมตะแล้ว และสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกก็คือ มหาวิทยาลัยมหิดล ไปสร้างวิทยาลัยแพทย์ ฉะนั้น สิ่งที่ผมทำอยู่ก็เพียงแต่มาฉายภาพ ให้เห็นว่า ผมในอดีตก็คือพัฒนาเมืองอุตสาหกรรม ในปัจจุบันนี้ผันตัวเองมาเขียนหนังสือ ฉะนั้น ก็เลยบอกว่า ผมวันนี้ไม่ใช่นักธุรกิจ อาจจะพูดอะไรเกี่ยวกับทางด้านธุรกิจไม่ได้ดี ช่วงที่ผมทำวันนี้ผมอาจจะพูดไม่สักกี่หัวข้อ เพื่อจะมาดูว่า สิ่งที่ผมมอง เรื่องการศึกษา ผมมีเรื่องที่จะพูดประมาณ 8 หัวข้อ เรื่องแรก ที่ต้องการจะพูดก็คือเรื่องของการศึกษาไทยวันนี้ เรื่องที่ 2 ผมมองเศรษฐกิจไทยว่าทำไมเราถึงอยู่ตรงนี้เพราะการศึกษากับเศรษฐกิจก็เกี่ยวโยงกัน ข้อที่ 3 มองพฤติกรรมและนิสัยคนไทยว่าจริง ๆ แล้วพฤติกรรมและนิสัยของคนไทยเป็นอย่างไร ข้อที่ 4 สังคมไทยและเศรษฐกิจไทยว่ามีปัญหาอะไรบ้าง ข้อที่ 5 เข้าใจว่าพอเพียงจะทำอย่างไรให้ชีวิตคนไทยพอแล้วกับเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต ข้อที่ 6 ทำอย่างไรให้คนไทยร่ำรวย อย่างเหมาะสมแล้วก็มีความสุขเท่ากับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อที่ 7 จะพูดเกี่ยวกับชีวิตผม ผมอยู่อย่างพอเพียง อยู่อย่างเหมาะสมได้อย่างไร ข้อที่ 8 มูลนิธิอมตะที่ผมทำอยู่ ผมกำลังทำอะไร แล้วก็ทำเพื่ออะไร ทั้งหมดก็จะพูดพอคร่าว ๆ คงจะไม่ได้มีรายละเอียด ทั้งหมด เพียงแค่ว่าทำอย่างไรให้มันเกิดสิ่งที่พอเพียง และผมก็คงจะไม่ชำนาญ เพราะทุกวันนี้ผมก็อยู่อย่างฟุ่มเฟือยซักหน่อย เพราะใช้เงินค่อนข้างจะเยอะ ฉะนั้น ก็คงไปบอก ไปคุย ให้กับทุกท่านฟังว่าผมปฏิบัติตนได้อย่างพอเพียง มันจะกลายเป็นโกหกตัวเอง ผมมองว่า วันนี้ทำไมต้องมาพูดถึงเรื่องพอเพียง เพราะว่าโดยเฉลี่ยทั้งประเทศไทย เรายังไม่พอใช้ และเพราะว่าในประเทศของเราแทบจะทั้งประเทศ คนไทยไม่รู้จักการบริหารงบประมาณ นั่นคือประเด็นที่ทำให้มีปัญหาว่า ทำไมเราถึง จะใช้คำว่าพอเพียง ในอดีต ผมจำได้ว่า ผมอยู่กับคนงานมาตั้งแต่เด็ก คนงานที่ดูแลในไร่จะเป็นชาวบ้านล้วน ๆ กว่า 80 % ว่าถ้ามี 10 บาท ก็จะใช้ 15 บาท และถ้าเกิดสามารถที่จะกู้ได้ 20 บาท เขาก็จะกู้เลยกว่า 20 บาท นั่นก็คือ ที่มาของปัญหาของสังคมไทยว่าเราใช้เกินตัว เราไม่ทำอยู่ในระบบของพอเพียง ผมก็ย้อนกลับไปว่าสาเหตุที่มาตรงนี้เพราะอะไร เพราะความรู้ ความสามารถ ไม่ดีเท่าที่ควร วันนี้ถามว่า ถ้าเรือประมงลำใดล่ม จะต้องมีคนอีสานตาย 1 คน ถามว่าเพราะอะไร จึงเป็นอย่างนั้น คนอีสานไม่มีความรู้ เพราะคนอีสานสามารถที่จะทำมาหากินอยู่ในบ้าน ในภูมิลำเนา ของตนเองได้ แต่วันนี้ถ้าคนอีสานจบปริญญาตรีทั้งหมด มีคุณภาพ เท่ากับคนอังกฤษ และคนสิงคโปร์แล้ว วันนี้จะมีคนอีสานออกไปทำงานอย่างนั้นหรือไม่ วันนี้ จะมีคนอีสานที่จะเล่นหวย ที่จะกู้เงินนอกระบบหรือไม่ ผมไม่เชื่อว่าจะมี วันนี้ปัญหาของการศึกษาไทย ผมไม่ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะเอามาตรวัดจากประเทศข้างบ้านเรา เราไม่ต้องไปวัดกับประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว ผมว่าเราเอามาตรวัดคนในเอเชียก็แล้วกัน เดี๋ยวว่าผม ว่าเอาแอปเปิ้ลไปเปรียบเทียบกับส้ม ผมอยากจะบอกว่าวันนี้ ถ้าเรามองว่า ความสามารถของประชากรในประเทศไทยไม่สูง ก็เนื่องมาจากเรื่องการศึกษา และการศึกษาของเรามีอยู่ 3 เรื่อง คือ

เรื่องที่ 1 การศึกษาที่ไม่ตรงกับตลาด วันนี้เราผลิตบุคคลากรของทั้งประเทศไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ในนิคมของผมวันนี้เป็นเวลา 10 ปี มาแล้ว ที่พนักงานด้านTechnician จบมาจากครู ที่การบริหารก็จบมาจากครู วันนี้การพูดคุย ผู้ผลิตบุคคลากรกับผู้ใช้บุคลากรต่ำมาก จึงเป็นผลทำให้การผลิตบุคคลากรออกมาให้กับผู้ที่เป็นผู้บริโภคไม่ตรงกันเลย

เรื่องที่ 2 ด้านคุณภาพของคนไทยที่จบมาไม่ว่าจะเป็นอาชีวะ ไม่ว่าจะจบปริญญาตรี (ยกเว้นไม่กี่สถาบันเท่านั้น) คุณภาพไม่ได้เท่ากับใบประกาศนียบัตร ที่ออกมาแม้แต่น้อย นั่นเป็นความล้มเหลวของการผลิตบุคคลากรในสายการผลิต ว่าเราไม่ได้มีสายการผลิตที่มีคุณภาพ

เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อมูล คนที่จบกับงานที่มีทำ ข้อมูลการประสานงานกับประสิทธิภาพก็ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้คนที่เรียนมีความรู้ ไม่สามารถที่จะเข้าไปทำงานในอุตสาหกรรมที่มีประโยชน์ วันนี้ เราเหมือนกับมีคนเก่ง แต่เราไม่ได้เอาคนเก่งไปใช้ วันนี้เหมือนกับเรามีตลาดต้องการคนเยอะ ที่เป็นคนดี คนเก่ง แต่ไม่สามารถหาพบได้ ประเทศไทยต่างกันกับต่างประเทศที่รัฐบาลทำในด้านนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อ 40 ปี ที่แล้วทุกท่านในที่นี้คงมองพร้อมไปกับผมว่า ประเทศเกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน อยู่ข้างหลังเราหมด แต่วันนี้ทำไมเราไปอยู่ข้างหลังเขาหมด ก็เพราะประเทศของเราไม่ได้มีบุคคลากรที่มีคุณภาพที่สามารถไปแข่งขันกับเขาได้ เมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว ท่านอดีต นายก อานันท์ ปัญยารชุน ชวนผมไปทานข้าวกับท่านที่สถานทูตจีน ที่รัชดา ปรากฏว่าบนโต๊ะสนทนาที่ทูตเบอร์ 2 ของสถานทูตสิงคโปร์ นั่งคุยอยู่ด้วย คนสิงคโปร์กล้าแสดงออก เพราะเขามั่นใจในความสามารถของเขา คุยกันภาษาไทย ไม่ได้คุยภาษาอังกฤษ ท่านนายก อานันท์ บอกว่า คนกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ 1 คน มีคุณภาพเท่ากับคนมีคุณภาพของคนไทย 5 คน ทุกท่านคิดอย่างไร ผมเถียงท่านนายกอานันท์ ว่าเป็นไปไม่ได้ ผมรู้จักคนกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อก่อนผมเคยสนใจจะไปอยู่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อตอนที่ผมสนใจจะเล่นการเมือง เพราะผมเห็นคนในกระทรวงการต่างประเทศ เป็นคนที่มีคุณภาพสูงที่สุดในขบวนข้าราชการของประเทศไทย อาจเป็นเพราะว่าคนในกระทรวงการต่างประเทศ มีคนไม่เยอะ พ่อแม่ถูกส่งไปทำงานที่ต่างประเทศ ลูก ๆ ได้เรียนในต่างประเทศ ฉะนั้น คุณพ่อ คุณแม่ ก็จะถ่ายทอดสู่ลูกหลาน แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ว่าคนกระทรวงการต่างประเทศเป็นคนที่มีคุณภาพที่สุด ท่านอานันท์พูดว่าอย่างนั้น ผมก็เถียง ท่านบอกว่า คุณไม่ต้องมาเถียงผมหรอก ผมอยู่กระทรวงต่างประเทศมาผมรู้ ว่าคนสิงคโปร์มันเก่งจริง ผมไม่แน่ใจว่า 5 คน ที่ท่านพูดมันถูกต้องหรือไม่ คุณธานิน เจียรวนนท์ เมื่อ 2 ปี ที่แล้ว นั่งคุยกัน ประชุมกันตอนนั้นมีท่าน สมคิด มีท่านชวลิต และ คุณพินิจ จารุสมบัติ มีไม่กี่คน คุณธานิน เป็นคนบอกว่า ทุกวันนี้ คนจีน 1 คน เท่ากับคนไทย 3 คน ผมก็เถียงคุณธานินอีกว่า คนจีนจะมาเก่งกว่าคนไทยได้อย่างไร คุณธานินก็มองหน้าผมยิ้ม ๆ ผมก็สะท้อนกลับว่า คุณธานินนี่เป็นแนวหน้าของเมืองจีน ผมจะไปเถียงอะไรกับคุณธานิน คุณธานินบอกผมว่าจากการที่ CP ไปลงทุนในจีน จนมาถึงวันนี้ คุณธานินสังเกตได้เลยว่า ความกระตือรือร้น ความขยัน ความรู้ของคนจีน มีประสิทธิภาพ มากกว่าคนไทย 3 คน ซึ่งทั้ง 2 ท่านนี้ ก็เป็นตัวอย่างที่พอบอกได้ว่า คุณภาพในการผลิตคนไทยของเราไม่ได้มาตรฐาน ขนาดแข่งกันในเอเชีย ยังไม่ได้ ไม่ต้องไปพูดถึงยุโรป อเมริกา เรายังห่างกับเขามาก ถามว่าวัดอย่างไร วัดที่รายได้ต่อหัว วันนี้ทุกท่านลองกลับไปคิดดูว่า ประเทศที่ผมกล่าวมา 5 ประเทศ ปรากฏว่าคนไทยรายได้ต่อหัวต่อปีต่ำกว่าสิงคโปร์วันนี้ อย่างน้อยที่สุด 12-14 เท่า จะเห็นได้ว่าวันนี้เมื่อเราไปเปรียบกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา คุณภาพ ความรู้ ความสามารถ ของเราวันนี้ เราจะเห็นได้ว่า เหมือนกับเรามีลูก คนนี้เงินเดือนได้ 10,000 บาท อีกคนหนึ่งอายุเท่ากัน ทำไมเงินเดือนได้ 100,000 บาท เพราะความรู้ ความสามารถ เท่านั้นเอง คุณไม่ต้องไปมองอย่างอื่น วันนี้ คุณไม่ต้องไปใส่จตุคามรามเทพ ผมเป็นคนเมืองกาญฯ ตอนเด็กผมสักมาทั้งตัว แต่ตอนหลังผมรู้ และผมก็เพิ่งบวชมาคนไทยเราวันนี้งมงายไม่มีเหตุผลค่อนประเทศ นั่นคือปัญหาที่คนไทยเราเหมือนวิ่งในลู่วิ่งแห่งเอเชียวิ่ง 100 เมตร ที่กำลังวิ่งอยู่ แต่เราไม่ได้ดูชาวบ้านเลยว่าเขาวิ่งไปถึงไหนแล้ว วันนี้คนไทยเรากำลังวิ่งอยู่กับที่ แล้วคนไทยไม่ได้วิ่งแข่งกับเขา เราเหมือนวิ่งในกระสอบ แล้วข้อเท้าของเราทั้งสองข้างเรามีกระสอบทรายผูกติดอยู่ ในความคิด การศึกษาของประเทศไทย นั่นคือ สิ่งที่คนไทยเราไม่มอง ไม่เข้าใจ แล้วผมแปลกใจมาก ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เรื่องของคำว่ารวย เรื่องของคำว่าโชค ไปใส่ที่จตุคามรามเทพหมดเลย วันนี้ผมถูกเลือกนะ วันนี้ก็พอที่จะมีสตางค์ ทุกวันนี้ผมถูกจัดอันดับรวยอันดับที่ 27 ของประเทศไทย ปีที่แล้วรวยอันดับที่ 29 ของประเทศไทย วันนี้ผมสร้างเมืองๆ หนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศนี้ ในระยะเวลา 17 ปี ผมมีสัดส่วน 7% ภายใน 3-5 ปีข้างหน้าตั้งเป้าหมายไว้ว่าเราต้องการ คือ 10% ทุกท่านเชื่อไหมครับว่าโรงงานในนิคมผมทั้งหมด ทุกคนมองอนาคตด้วยวิสัยทัศน์ ทุกคนมองอนาคตด้วยการวางแผนที่มีเหตุและผล ทุกคนไปปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่งมงาย ไม่เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผล วันนี้ทุกโรงงานประสบความสำเร็จทั้งสิ้น เพราะทุกคนยืนอยู่บนเหตุและผล ผมชอบยกตัวอย่างบริษัทซัมซุงอยู่เรื่อย ถามว่าทำไมซัมซุงใหญ่ระดับ 100 กว่าของโลก ในระยะเวลาแค่ 10 กว่าปีเท่านั้นเองที่ประธานชื่อ ลีกุนฮี มาเป็นประธานซัมซุงจากรุ่นพ่อ เมื่อปี 1991 นับวันนี้แล้วเท่ากับ 16 ปีเท่านั้นเอง เพราะมีประโยคเดียวที่ประธานซัมซุงพูดออกมาว่า เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย วันนี้บริษัทซัมซุงจะต้องมองว่ามนุษย์ในโลกนี้ทุกๆ ประเทศ มีประชากรอย่างน้อย 6,500 คน ขึ้นไป นั่นคือลูกค้าของซัมซุง ทุกท่านเชื่อไหมว่าในระยะเวลาแค่ 10 กว่าปีจนถึงวันนี้ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ทุกท่านเห็นไหมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยคือซัมซุงทุกหนทุกแห่งเลย แล้ววันนี้สิ่งที่ซัมซุงเจาะลงไปลึกยิ่งกว่าใคร คือคำว่าประชาชน เขาเจาะเข้าไปว่า ในบ้านหนึ่งหลังเขาจะใช้อะไรบ้าง วันนี้ที่ผมมาพูดผมอยากให้เห็นว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้นในซัมซุง มันจะเกิดขึ้นได้ในประเทศเราก็คือ ตรงความคิด เขาบอกว่าสร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง แล้วในบ้านหลังนี้ดูซิว่าเราจะใช้อะไรบ้าง เช่น ก-ฮ แล้วซัมซุงทำทุกอย่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ฉะนั้น เมื่อทุกท่านสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมา อยากจะมีอะไรทุกอย่างแค่เรียกคนของซัมซุงหรือทีมของซัมซุงมาเท่านั้น เขาเสนอท่านทุกอย่างตามที่ท่านอยากจะได้ ตั้งแต่ชักโครกถึงเตียงนอน เห็นไหมว่าซัมซุงเขาทำอย่างนั้น แล้วเวลาซ่อมบำรุงซัมซุงส่งมาทีมเดียว นั่นคือความสำเร็จที่ซัมซุงไม่ได้มีความงมงาย มีเหตุผลและวิสัยทัศน์ วันนี้ซัมซุงโตเอาๆ จนกลายเป็นซัมซุง มีกำลัง มียอดขาย มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในเกาหลี ผมย้อนกลับมาดูเกาหลี ทุกวันนี้ประเทศเกาหลีมีประชากรทั้งหมด 48 ล้านคน ประเทศไทยเรามีประชากร 65 ล้านคน ประเทศเกาหลีมีพื้นที่ใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของประเทศไทยเท่านั้นเองและมีหิมะตกในฤดูหนาว ทุกท่านเชื่อไหมว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมของเกาหลีมากกว่าประเทศไทย 5 เท่า ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมปีที่แล้ว คือ 2 แสนล้านเหรียญ แต่ประเทศเกาหลีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมถึง 1 ล้านล้านเหรียญ ถามว่าเพราะอะไร เดี๋ยวนี้ความคิดการศึกษาของคนเกาหลีไปสูงมาก ทุกท่านเชื่อไหมว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นของเกาหลี เรื่องของแล็ปที่เราใช้กันอยู่ เป็นคลังสมองของทั้งประเทศ คือเหมือนใครก็ได้ซื้อโน้ตบุ๊กมา ก็สามารถที่จะเข้าไปหาข้อมูลทั่วโลกได้หมด เร็วที่สุดมีพลังที่สุดอันดับ 3 ของโลกต่อจากอเมริกาและญี่ปุ่น ถามว่ารัฐบาลเกาหลีทำไมถึงได้ทำอย่างนี้ เพราะรัฐบาลเกาหลีให้ความสำคัญแก่การศึกษามาก รัฐบาลเกาหลีลงทุนเกี่ยวกับเรื่อง Center เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของแล็ป ศูนย์กลางของข้อมูล ประชาชนเกาหลีทุกคนสามารถเข้าไปใช้ เท่ากับว่าประชาชนเกาหลีสามารถที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ที่บ้านของตัวเอง วันนี้ เป็นต้นไป ทุกท่านดูเถอะว่า เกาหลีจะมีของใหม่ ๆ ทุกท่านเชื่อไหมว่า เกาหลีสามารถตีตลาดญี่ปุ่นได้ ด้วยความคิดแค่ตรงนี้เองของ ซัมซุง เมื่อก่อน Sony ใหญ่มาก คนญี่ปุ่นดูถูกเกาหลีมากเหลือเกิน ท่านเชื่อไหมว่าโทรทัศน์ที่ทำโดย Sony ทุกวันนี้ถูก ซัมซุง ตีตลาดไปหมดเลย บริษัท Sony มียอดขายปีที่แล้ว 7 หมื่น 6 พันล้าน ส่วนซัมซุงมียอดขาย 8 หมื่น 9 พันล้านบาท Sony กำไรแค่ 1 พัน 5 ร้อยล้านเหรียญ ส่วนซัมซุง ได้กำไรถึง 8 พันกว่าล้านเหรียญ แค่ซัมซุงอีเลคทรอนิคอย่างเดียว ยังไม่รวมกับสินค้าตัวอื่นของซัมซุง ก็มีกำไรมากกว่า Sony ตั้ง 5-6 เท่า ทุกวันนี้ Sony ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะนโยบายการศึกษาที่เกิดขึ้นในเกาหลีนั่นเอง ถามว่าทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยถึงได้เป็นอย่างนี้ ถามว่าคนไทยถึงไม่เก่ง วันนี้เป็นเรื่องของการวางแผน เรื่องของวิสัยทัศน์ เรื่องของการศึกษาทั้งสิ้น ทำไมคนงานไทยถึงไปทำงานในเกาหลีแล้วถูกจับ ก็เพราะค่าแรงที่สูงกว่า วันนี้ผมทายไว้ เรื่องหนึ่งท่านเป็นพยานด้วยทุกวันนี้ คนที่วิ่งจ่อเราเลยคือเวียตนาม ข้าราชการไทย นักการเมืองไทย เวลาไปเที่ยวเวียดนาม จะไปมองเมื่อวานนี้ของเวียดนาม ผมทายทุกท่านได้เลยว่า ถ้าท่านมีลูกหลาน เพื่อนฝูงไป ทายว่าอีก 10 ปี ข้างหน้า คนไทยจะต้องอพยพไปทำงานที่เวียตนาม ถ้าคนไทยยังทะเลาะกันแบบนี้ ยังงมงายกันแบบนี้ ยังไม่มีนโยบายกันแบบนี้ เพราะรัฐบาลเวียตนามวันนี้มีวิสัยทัศน์มาก มีเหตุผลมาก และคนเวียตนามทำอะไรจริงจัง นั่นคือ เหตุผล เมื่อ 16 ปี ที่แล้ว ผมไปเวียตนามแล้วก็ตัดสินใจว่าจะลงทุนในเวียตนาม วันนี้ ปีนี้ เงินลงทุนของต่างประเทศ ที่ไปลงทุนในเวียตนาม จะมีมากกว่าในเมืองไทยอย่างน้อย 3 เท่า อีก 2-3 ปี ต่อมา โรงกลั่นของเวียตนามจะเสร็จ ประมาณ 2-3 โรง เวียตนามมีน้ำมันเป็นของตัวเอง เวียตนามมีพลังงานแทบจะทุกชนิดเป็นของตัวเอง แต่ข้อสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา ผมไปพูดที่ โฮจิมิน สิ่งหนึ่งที่ประทับใจผมมากที่สุด คือมีนักลงทุนต่างประเทศคนหนึ่งพูดว่า คนเวียตนาม ทำงานแล้วพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ฉะนั้น นโยบายรัฐบาลวันนี้จึงผ่อนปรนให้คนงานต่างชาติที่จำเป็นจะต้องเข้ามาในโครงการทั้งหมด Import เข้ามาได้ วันนี้รัฐบาลเวียตนาม ประกอบเรือระวางขับน้ำ 5 หมื่น 3 พันตัน รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาบอกว่ารัฐบาล เวียตนาม มีเป้าหมายที่จะสร้างประเทศ ส่วนคนไทยใช้เงินหรือใช้งบเกินตัว คนไทยไม่รู้จักคำว่า เครดิต เครดิต คือเอาเงินที่จะใช้ล่วงหน้ามาใช้ก่อน วันนี้คนไทยติดเรื่อง เครดิตการ์ดกันมาก วันนี้ผมอยากจะพูดว่า หนี้สินครัวเรือนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะระบบเครดิตการ์ดในประเทศไทย ซึ่งเจ้าของเครดิตการ์ดคือ อเมริกา อเมริกาเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุดในโลก ถามว่าที่มีเงินมากที่สุดในโลก มีเครดิตมากที่สุดในโลกคือใคร คือ ญี่ปุ่น ซึ่งวันนี้มีเงินรวมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ถ้าไปดู GDP ญี่ปุ่นมีประมาณ 6 ล้าน ๆ เหรียญ ในต่างประเทศที่ญี่ปุ่นไปซุกไว้ จะมีอย่างน้อยคูณด้วย 2 ฉะนั้น รวมกันแล้ว ก็ประมาณ 12 ล้าน ๆ เหรียญ ในขณะที่ญี่ปุ่น มีประชากร แค่ 120 ล้านคน อเมริกายิ่งใหญ่มาก มี GDP อยู่ประมาณ สัก 11.7 ล้าน ๆ เหรียญ ฉะนั้น เทียบกับ ญี่ปุ่นแล้ว อเมริกายังน้อยกว่า ในขณะที่ประชากรในอเมริกามีมากกว่า ญี่ปุ่น เกือบ 3 เท่า คือ 300 ล้านคน คำถามคือว่า เงินทุนสำรองของอเมริกาวันนี้มีเท่าไหร่ แค่ 6 หมื่นกว่าล้านเหรียญ ในขณะที่เงินทุนสำรองในญี่ปุ่นวันนี้ เกือบ 1 ล้าน ๆ เหรียญ น้อยกว่าจีนแค่ 3 แสนล้านเหรียญ แสดงว่าคนญี่ปุ่นรวยจริง คนไทยเราวันนี้ ทำไมไปใช้ระบบกู้แบบอเมริกา ทุกวันนี้เท่าที่เข้าใจ ว่ามีบริษัททวงหนี้ ของบริษัทเครดิตการ์ดเกิดขึ้นมากมาย คนไทยเราใช้เงินเกินตัว แล้วไม่รู้จักบริหาร ที่หนักไปกว่านั้น คนไทยเราหลับตา ไม่รับรู้ เราหนี เราไม่กล้าหันหน้าเข้าหาความเป็นจริง ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งของคนไทย ทำไมไม่ไปคุยกับเจ้าหนี้ ทุกท่านเชื่อไหมว่าปี 40 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ผมเป็นหนี้ของบริษัทและส่วนตัวด้วย เกือบ 2 หมื่นล้าน ผมบอกกับเจ้าหนี้ผมทั้งหมดเลยว่า ถ้าผมไม่ตายจะใช้หนี้คืนหมด เชื่อไหมว่าช่วงวิกฤติ ธนาคารกสิกรไทยในช่วงปี 41-42 ให้เงินผมยืมเกือบ 100 ล้าน ตอนนั้นธนาคารก็แทบจะขาดทุนอยู่แล้ว เสร็จแล้วผมใช้หนี้ไปหมดเลย ทุกครั้งที่ผมมีเงินเข้ามา สมมุติว่า ผมมีเงิน 100 บาท จะมีเงินเจ้าหน้าที่ตั้งว่า ต้องใช้อะไรบ้าง เท่าที่จำเป็น ที่เหลือผมคืนธนาคารอีก 4 ปี ต่อมาเกือบ 5 ปี เชื่อไหมว่าผมใช้หนี้ธนาคารได้ทั้งหมด ผมบอกกับธนาคารว่า ผมไม่ต้องการเป็นหนี้แบบนี้อีกแล้ว มีเทคนิคบริหารกู้เงิน สมมุติเราต้องการใช้ 10 บาท แล้วไปกู้ธนาคาร 5 แห่ง ๆ ละ 2 บาท ดูว่าธนาคารไหนบริการดี แล้วก็ช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่ นั่นคือ อมตะ ทุกท่านเชื่อไหม อมตะทุกวันนี้ ติดหนี้ 4,000 ล้าน แต่มีเงื่อนไขว่า

1. ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธนาคารไหนจะมาพูดถึงเรื่องหลักทรัพย์ค้ำประกันให้ไปหาธนาคารอื่น ไม่ใช่อมตะ

2. ดอกเบี้ยจะต้องถูกกว่าอัตราปกติ 1-1.5 % ขึ้นไป

3. จะต้องบริการดีที่สุดในช่วงวิกฤติ เชื่อไหมว่า ผมบริหารการเงิน คือคำว่ารับผิดชอบ ผมรักษาเครดิต ผมไม่เคยไม่รับโทรศัพท์ อันนั้น ก็เลยกลายเป็นการสร้างเครดิตขึ้นมา ฉะนั้น การเบี้ยวซึ่ง ๆ หน้า การหลบหนีแบบที่ไทยเราทำก็เลยทำให้เราไม่มีเครดิต อันนั้น ผมอยากจะบอกว่านั่นคือพฤติกรรมของคนไทยที่มีปัญหาของการจัดการ ตามมาด้วยคนไทยไม่รู้จักตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาทุกวันนี้ คนไทยเห็นแก่ตัว ยังไม่รู้จักกับตัวเอง คนไทยนโยบายคับแคบ คนไทยมองที่ปลายจมูก กับหัวแม่เท้า ทุกวันนี้ ผมอยากทำงานให้สังคม ที่ผมมาบ่น ๆ คือผมอยากให้คนไทยมองได้ว่าอะไรคือ ดำ อะไร อะไรคือขาว ไม่ควรจะมองแบบลูบหน้าปะจมูกให้เป็นสีเทาหมด คำว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทุกวันนี้ มันกำลังจะเลือนลางลงไปทุกที เพราะความเห็นแก่ตัวของคนไทย และความไม่รู้จักตัวตน อันแท้จริงของคนไทยนั่นเอง วันนี้ ที่ทำให้สังคมเราตกต่ำ สังคมเราไม่ผลิตรายได้ สังคมเราหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง ถ้าวันนี้คนไทยเราทั้งประเทศรักตัวเองและรักสังคมเราให้เท่ากันไม่ต้องไปสาบานตนว่าจะรักประเทศชาติมันไม่จำเป็น ผมขอว่าถ้าคนไทยเรารักตัวเอง ให้เท่ากับรักสังคม ผมคิดว่าประเทศไทยจะเปลี่ยน เปลี่ยนไปจากวันนี้ สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดก็สรุปว่าปัญหาก็จะเล็กลง เพราะคอรัปชั่น เพราะความเห็นแก่ตัวของประเทศไทยเรานั่นเอง ทำให้มีคอรัปชั่นทุกหย่อมหญ้า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นต้นทุน เป็นตัวถ่วงในการที่เราจะไปข้างหน้า ผมอยากจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยวันนี้อยู่อันดับที่ 77 ของโลก ในการวัดอันดับของประเทศที่คอรัปชั่นใน 133 ประเทศ ประเทศไทยอยู่อันดับอย่างนี้ ไม่เหมือนประเทศสิงคโปร์ สิงคโปร์เป็นประเทศที่เล็ก เป็นประเทศที่น่าอยู่ เป็นประเทศที่สะอาด มีคอรัปชั่นน้อยที่สุด เป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุด แต่ประเทศไทยยังล้าหลัง นั่นคือปัญหาที่ทำให้เราอยู่ตรงนี้ ปัญหานั้นก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องการศึกษาว่าวิชาหน้าที่พลเมืองของเราไม่ได้เรียนอย่างลึกซึ้ง นั่นคือเรื่องที่ 1 เรื่องที่ 2 ทำให้เราเห็นแก่ตัว ทำให้เราไม่เห็นแก่สังคม เราเห็นแก่ตัวเรามากกว่า วันนี้มีคนไทยเราจำนวนมากที่รักลูกรักเมีย จะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ลูกเมีย ไม่นึกถึงผลกระทบต่อคนอื่น เหมือนกับผมที่อยู่ริมคลองแสนแสบ ผมเห็นแม่บ้านที่อยู่ริมคลองแสนแสบกวาดขยะลงคลองแสนแสบ นี่เป็นสิ่งที่ผมอยากจะบอกว่าเป็นปัญหาของสังคมไทย และเศรษฐกิจไทย

เรื่องที่ 4 ผมเข้าใจ คำว่าพอเพียงคืออะไร แล้วจะทำอย่างไรให้สังคมไทยมีชีวิต มีการปฏิบัติตนอย่างไรให้เหมาะสมกับคำว่าพอเพียงในเชิงเศรษฐกิจ ก็มีอยู่แค่การมองงบประมาณ ถ้าท่านสามารถเคลียร์ได้ว่าเดือนหนึ่งสมมุติว่าได้เงิน 100 บาท หรือ 1,000 บาท ก็เอาตรงนั้นเป็นที่ตั้งแล้วก็เอาต้นทุนชีวิตของเราตัด แล้วการตัดต้นทุนชีวิตของเรา ก็ต้องดูว่าอะไรที่มันจำเป็นจริง ๆ เราก็ค่อยมาตัด แต่อะไรที่มันไม่จำเป็น ก็อย่าเอามาตัด ถ้าเราสามารถสร้างภาพตรงนี้ได้ว่าเรามี 100 บาท แล้วของจำเป็นจริง ๆ นี้ ใช้ไป 70 บาท อีก 30 บาท เก็บใส่กระเป๋าไว้ทุกเดือน ถ้ามีเรื่องอะไรคอขาดบาดตายก็เอา 30 บาทนี้ออกมาใช้ แต่ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายก็เก็บไว้ นี่คือสิ่งที่ผมเข้าใจคำว่าพอเพียงแต่ต้องเหมาะสมต้องพอดี แต่เมื่อมีความจำเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องกู้หนี้ยืมสินนิดหน่อยไม่เป็นไร ทุกท่านเชื่อไหมตอนนี้ผมอายุ 54 ปี เมื่อประมาณเกือบ 50 ปีที่แล้วผมเริ่มทำธุรกิจเมื่อตอนอายุ 5 ขวบ จนอายุ 13 ย่าง 14 ผมมีเงินเก็บ 10,000 บาท ในตอนนั้นรถจิ๊บคันหนึ่ง คันละ 40,000 บาท ผมเอาเงินที่เก็บได้ไปฝากธนาคารในสมุดฝากของผมนี้ดอกเบี้ยมันงอกขึ้นเรื่อย ๆ อันนั้นมันก็ทำให้ผมมีกำลังใจ ตอนผมอยู่มหาลัยผมก็ทำธุรกิจ ผมก็เก็บเงิน แล้วผมก็ดันไปหลอกรัฐบาลใต้หวัน ผมไปเอาเงินของรัฐบาลใต้หวันไปเป็นทุนการศึกษาอีก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกวันนี้ผมร่ำรวย เพราะผมรู้จักบริหารงบ และขยันที่จะทำอย่างมีเหตุและผลด้วยวิสัยทัศน์ ฉะนั้นผมอยากจะเสนอแนะว่า ถ้าเกิดคนไทยเราทำอย่างผม คิดอย่างผม ปฏิบัติอย่างผม และมีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะบอกว่าคนไทย ทำไปแล้วก็ทิ้งมากกว่าคนญี่ปุ่น คนฝรั่ง หลายเท่าเหลือเกิน คนไทยเป็นคนที่ไม่มีความอดทน ผมมีจุดอยู่จุดหนึ่งคืออะไรที่ผมจะคิด ผมก็จะคิด ๆๆ แล้วก็ศึกษาจนรู้ว่าจะต้องเอาแน่ผมถึงจะทำ ตั้งแต่ผมเกิดมาผมไม่เคยจะถอยเลยแม้ซักหนึ่งงาน ถึงแม้มันจะประสบปัญหาหรือภาระหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าทุกท่านทำได้อย่างนี้ ก็จะทำให้ทุกท่านร่ำรวยแน่นอน ถ้าทุกท่านอยากรวยง่ายนิดเดียวคือรู้จักบริหารงบที่ตัวเองมี อะไรที่จำเป็นจะต้องใช้ก็ใช้ ข้อที่ 2 ท่านต้องมีวิสัยทัศน์ อย่าไปมองแค่ปลายจมูก ต้องมองโลกใบนี้เป็นตลาดของเราอย่างประธานซัมซุง อีกอย่างเรื่องการศึกษาของคนไทยจะต้องเน้น ลูกหลานทุกคนจะต้องเรียนหนังสือให้ลูกหลานเรียนเต็มที่ ลูกหลานจะต้องฉลาดกว่าเรา อันนั้นก็จะทำให้เราประสบความสำเร็จนั่นเอง

สุดท้าย ผมอยากจะบอกว่าสิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ ผมแสดงตนว่าผมใช้ในลักษณะของความพอเพียงในชีวิตของผม และผมคิดว่าประเทศไทยจะให้เหมาะและพอเพียงได้ ก็เริ่มที่การศึกษา การบริหารงบ การบริหารตัวเอง ความคิดที่ไม่งมงาย ความคิดที่มีเหตุและผล และความอดทนอย่างต่อเนื่อง เมื่อเราตัดสินใจทำอะไรแล้วจะต้องทำให้สำเร็จ แต่ก่อนจะตัดสินใจอะไร เราจะต้องคิดให้รอบคอบก่อน สิ่งสุดท้ายคือว่า อมตะ ทำอะไร เพื่ออะไร คำว่าอมตะคือมูลนิธิอมตะ ผมวันนี้ใช้เวลากว่า 80 % อยู่ในมูลนิธิ ผมวันนี้ จะอยู่ที่ต่างจังหวัด 2 อาทิตย์ แล้วจะกลับมาทำงาน 1 วัน คือวันพฤหัสบดี อยู่กับเจ้าหน้าที่ของผมทั้งบริษัท ทั้งวัน เพื่อจะบอกเป้าหมาย เพื่อจะบอกนโยบาย เพื่อจะช่วยเขาแก้ปัญหาเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือผมเขียนหนังสือ 11 วัน เต็ม ๆ วันนี้หลังจากที่ผมเป็นดักแด้แล้ว ผมอยู่ในความสงบ ผมไม่ต้องการอะไรอีก ในแง่ของผลประโยชน์ ชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือรางวัล ผมอยากจะได้วันนี้คือความภูมิใจในสิ่งที่ผมกำลังทำในสิ่งที่ผมกำลังเดินไปข้างหน้า เพราะผมคิดว่านั่นคือหน้าที่ของผม นั่นคือความรับผิดชอบของผมที่จะต้องมีกับสังคมนี้ ในฐานะที่ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง แผ่นดินนี้ เลี้ยงผมมา สร้างผมมาให้ผมมาเป็นวันนี้ วันนี้เป็นต้นไปที่ผมจะทำให้คือให้กับตัวผมก่อน คือสิ่งที่ผมมีความสุข และความภูมิใจ และสิ่งที่ผมได้คือความสุข และความภูมิใจ ที่ผมอยากทำให้กับสังคมนี้ ไม่มีความสุขใด ๆ เท่ากับได้เห็นทุกคนมีความสุขและไม่มีความสุขใด ๆ ถ้าเห็นในความสุขนั้นเป็นความสุขที่แท้จริง ไม่ได้เป็นความสุขที่งมงาย ไม่ได้เป็นความสุขที่ไร้ซึ่งเหตุผล แล้วผมยิ่งจะมีความสุขถ้าเห็นหนังสือผมเขียนออกมาทุกเล่ม ทุกท่านเอาไปให้กับคนที่ท่านคิดว่าเขามีความทุกข์ที่สุด และคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่สุด ผมอยากให้ทุกท่านเป็นสื่อให้ผม ทุกครั้งที่ผมเขียนหนังสือมันสะท้อนชีวิตของผมที่ผ่านมาออกมาในเรื่องของความล้มเหลวของครอบครัวในสังคมไทยที่มีเยอะมาก ผมอยากให้สังคมเราได้มีการเปลี่ยนแปลงจากอดีต อะไรคือสีดำเราก็ควรจะยอมรับว่านั่นดำ อะไรคือสีขาวเราก็ต้องบอกว่าสีขาว ผมมาที่นี่วันนี้ ผมมีอะไรจะมาบอกกับทุกท่านว่า สิ่งที่ผมพูดทุกอย่าง ผมพูดจากใจ ผมไม่มีอะไรแอบแฝง ผมไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้นในชีวิตนี้ สิ่งที่ผมอยากจะได้ คือความสุข และเป็นความสุขที่แท้จริง ทุกครั้งที่ผมเห็นแฟนรายการเดินเข้ามาทักผมด้วยรอยยิ้ม ด้วยคำพูดที่มีเนื้อหา นั่นคือกำลังใจ คือสิ่งที่ผมต้องการ ทุกครั้งที่ผมกลับมากรุงเทพ ฯ ผมหิวที่อยากจะเห็นจดหมายที่แฟนรายการอ่านหนังสือแล้ว เขียนเข้ามาหาผมเกือบ 10,000 ฉบับ ในสังคมไทย มีครอบครัวแบบผมอีกเยอะมาก หลายคนยังติดอยู่กับคำว่าบุพการี ไม่กล้าบอก ไม่กล้าพูด มนุษย์คือมนุษย์ ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง ผมวันนี้ยอมทุกอย่างในสิ่งที่ดีมีเหตุผล ความเข้าใจของมนุษย์มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ผมอยากจะบอกว่า ผมพูดจากใจ พูดสิ่งในอนาคต และผมเชื่อว่าทุกท่านทำได้ บรรพบุรุษของเราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคนี้ บรรพบุรุษของเราคือผู้นำในภูมิภาคนี้ แต่ในยุคนี้เป็นยุคของทุก ๆ ท่าน ที่กำลังนำประเทศของเราไปในทางที่ดี ไม่ว่าทุกท่านจะอยู่ที่ใหนถ้าเกิดว่าเรายอมแพ้ในสิ่งที่เราเห็นแก่ตัว เอาประโยชน์ใส่ตัวเอง และก็งมงาย ผมอาจจะพูดแรงไป ผมแค่อยากจะสร้างอารมณ์ท่านมีอารมณ์ร่วมกับผมเท่านั้นเอง แต่สิ่งหนึ่งเหนืออื่นใดคือผมอยากจะบอกว่า ผมรักประเทศนี้ และผมอยากให้ประเทศนี้กลับไปอย่างเดิม อย่างเช่นอดีต คือความยิ่งใหญ่ และผมอยากให้นิยามประเทศนี้ว่าเป็นประเทศที่มีคนดี ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ และผมอยากจะรอวันนั้น และผมจะเดินไปกับทุกท่าน ขอบพระคุณมากครับ



ถอดเทปโดยนางสาวนันทกร ทิพยามาตร

ตรวจสอบข้อมูลโดยนางนพรัตน์ เวโรจน์เสรีวงศ์

กลุ่มพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน

สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น